
พระสิงห์เป็นพระหนุ่มที่มีจิตใจใฝ ในทางเวทธยาคมอย่างแรงกล้าตั้งแต่บวชเป็นพระ เขาก็รับเอาสารพัดอักขระเลขยันต์เข้าสู่ผิวกาย หนำซ้ำยังเฝ้าท่องบทสวดมนต์รวมถึงพระคาถานับสิบนับร้อยบทก่อนนอน หรือทุกครั้งที่มีเวลาว่าง เรียกว่าหนังสือมนต์พิธีเล่มหนาปกเหลือง ในนั้นคาถาบทไหนสวดแบบใด เขาสามารถท่องได้อย่างแม่นยำถูกต้อง ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาที่เปลี่ยนแปลงสถานะจากปุถุชนคนธรรมดาเข้ามาสู่อ้อมอกของผ้าเหลือง สิ่งที่พระใหม่ทั้งหลายต้องเจอ คือเรื่องการท่องหนังสือที่ยากแสนยาก พระสิงห์ผ่านด่านนั้นไปได้ไม่ต้องกังวล “พระสิงห์กล่าว “ หลวงพ่อครับ กระผมทราบว่า มีกุฏิร้างอยู่ในป่าแดงท้ายวัด ผมขอไปอยู่ที่นั่นได้ไหมครับ” พระสิงห์พนมมือบอกแก สมภารเจ้าวัด ด้วยอาการนอบน้อม ตามที่พระผู้น้อยพึงกระทำ “สมภารเจ้าวัดกล่าว” ที่นั่นมันร้างหลายสิบปีแล้วนะท่าน มีแต่ฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกแล้วอ่ะมันยังมีอย่างอื่นที่ใครก็ตามต่างหนีห่าง ท่านจะไปอยู่ด้วยจุดประสงค์อะไร “ “พระสิงห์กล่าว” เรื่องนั้นกระผมทราบดีครับแต่ความเงียบสงบของบรรยากาศภายนอกผมว่าจะเกิดภายนอกมากกว่า เรื่องผีสางนางไพร่กระผมไม่กลัวหรอกครับ” พระสิงห์ยืนยันหนักแน่น เมื่อเจ้าตัวต้องการเช่นนั้นท่านสมภารจึงไม่ได้ขัดข้อง เพียงแต่ขอเวลาสักวันจะให้เด็กวัดไปปัดกวาดเช็ดถูเพื่อทำความสะอาดให้พร้อมอยู่เสียก่อนพระสิงห์นิ่งไปครู่ก่อนจะบอกว่าคืนนี้ท่านจะเข้าพักเลยไม่ต้องรบกวนคนอื่น หากหลวงพ่อจะให้เด็กวัดไปช่วยท่านก็ไม่ขัดข้อง แต่หากเด็กวัดกลัวเกินกว่าจะย่างกรายเข้าไปในเขตนั้นท่านก็ไม่ว่ากระไรท่านเข้าใจดี
สิบเก้านาฬิกาเวลาย่ำค่ำ พระสิงห์เดินหอบหิ้วอัณฑะบริขารที่จำเป็นเดินตัดป่าตรงไปยังกุฏิร้างเพียงลำพัง แสงสว่างเพียงอย่างเดียวที่มี จากตะเกียงเจ้าพายุเก่าๆที่ถืออยู่ ประมาณสิบนาทีก็ถึงที่หมาย เหงาทำมึนมืดมิดของกุฏิที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางไม้ใหญ่ที่รายรอบ ท่านจัดการปัดกวาดฝุ่นละอองที่จับหนาเป็นนิ้วออกจากชานกุฏิ เพื่อที่คืนนี้จะใช้นอนพักผ่อนจำวัด เสร็จแล้วก็หยิบเอาพระพุทธรูปองค์เล็กๆออกมาตั้งไว้บริเวณขอบระเบียง จุดเทียนธูปบูชาแล้วนั่งพนมมือสวดมนต์ตามกิจวัตรปกติที่เคยกระทำที่เกือบสี่ทุ่ม พระสิงห์เปลี่ยนอิริยาบถเป็นนั่งสมาธิเพื่อตั้งจิตให้แน่วแน่ ในระหว่างนั้นเองบรรยากาศภายนอกเริ่มเปลี่ยนไป จากที่ตอนแรกอากาศเย็นสบายนานๆจะมีสายลมเอื่อยๆพัดมาสักทีนึง จู่ๆ กลับมีลมแรงพัดอื้ออึงเข้ามาเราจะเกิดพายุใหญ่ เสียงพื้นแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อมีร่างใหญ่เงาดำสูงเกือบสามเมตร เดินฝ่าแมกไม้มุ่งเข้ามาทางกุฏิที่มีแสงสว่างรำไรของตะเกียงเจ้าพายุวอมแวมอยู่ “อสูรกายกล่าว ที่นี่ไม่ใช้ที่พระออกไป” เสียงที่ทรงพลังอำนาจถูกตะเบงออกมาจากร่างลึกลับมันสั่นสะเทือนจนบรรยากาศการรอบข้างจนหมู่ไม้สั่นไหวเสียงหมาวัดซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบครึ่งกิโลหอนโหยหวนแว่วมาไกลๆ แต่พระสิงห์หาได้รู้สึกหวั่นไหวแต่อย่างใดไม่ ท่านยังคงนั่งหลับตานิ่งไม่ไหวติงอยู่เช่นเดิม เมื่อเห็นว่าผู้บุกรุก ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวอย่างที่ควรจะเป็น ร่างของอสูรกายนั้นก็ยิ่งโกรธเกรี้ยว “อสูรกายกล่าว อยากลองดีกับกูเหรอะเดี๊ยวมึงได้รู้จักกู” พระสิงห์ตวาดลั่นพร้อมทำปากขมุบขมิบท่องคาถา พลันอสูรกายตนนั้นกรีดร้องแสดงถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส มันได้แต่กรีดร้องโหยหวนจากที่ตัวสูงเกือบสามเมตรมันค่อยๆหดตัวเล็กลงเหลือเท่าคนธรรมดาทั่วไป “อสูรกายกล่าว กูยอมแล้ว” “พระสิงห์กล่าว เก่งนักเหรอมึงอ่ะเดี๊ยวมึงเจ็บตัวมากราบแทบเท้ากูเสียดีกว่าจะได้ไม่เจ็บตัว”ที่สุดมันก็ต้องยอมจำนน พระสิงห์ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นชอบอกชอบใจ ก่อนจะเรียกมันเข้าไปเก็บไว้ในหุ่นดินเหนียวปั้นตัวเล็กๆ ในนั้นยังมีหุ่นอีกหลายตัวถูกสะกดด้วยเช่นกัน ที่จริงแล้ว พระสิงห์เป็นพวกใฝ่ในอวิชชาด้วย ขณะที่เป็นฆราวาส เขาได้ตระเวนไล่จับผีที่ว่าทั้งเฮี้ยนทั้งแรงมากักขังไว้ในหุ่นเพื่อเอามาไว้ใช้งาน นอกจากนั้น ยังรับทำคุณไสยทั้งดีและร้ายสารพัด ผู้คนหลายรายที่ได้รักใคร่สมสู่กันจากฝีมือของพระสิงห์ และก็มีอีกหลายสิบ ที่ต้องสิ้นใจจากน้ำมือพระสิงห์เช่นกัน ความรุนแรงของวิชาที่ผนึกอยู่ในตัว ส่งผลรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บางครั้ง เขาหลับใหลไปด้วยอาการง่วงงุน ในความฝัน เขาเห็นตัวเองท่องไปตามท้องไร้ท้องนา พบเจอกบเขียดก็คว้าหมับขึ้นมากัดกิน หรือบางทีก็เห็นตัวเองใต่ไปตามบ้านเรือนต่างๆเหมือนจิ้งจกตุ๊กแกเที่ยวดอดเข้าไปขโมยของสดของคาวตามตู้เย็นกินอย่างหิวโหยและมีเหมือนกันที่พบตัวเองแลบเลียพื้นกระดานที่หญิงสาวเพิ่งคลอดลูกปัสสาวะลงมา เมือลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้า เขาอ้วกออกมาเป็นของเน่าเหม็นส่งกลิ่นรุนแรง เขารู้ว่าตนเองได้เปลี่ยนไปเพราะเกิดไปผิดคำครูเข้า แต่นึกไม่ออกว่าข้อไหน เพราะถือครองไว้มากเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้ จึงตั้งใจจะบวชเป็นพระ เพราะคิดว่าบารมีผ้าเหลืองจะสามารถช่วยกักกันความชั่วร้ายที่แฝงอยู่ในตัวได้ไม่มากก็น้อย แต่พระสิงห์กลับคิดผิด เพราะอาถรรพ์ที่ท่านต้องพบเจอนั้น มันรุนแรงเกินกว่าที่ผ้าเหลืองของพระใหม่จะต้านทานไหว สามสี่วันหลังจากที่พระสิงห์บวชเข้ามาอยู่ในวัด หมาแมวเริ่มทยอยหายไปอย่างไร้ร่องรอยทีละตัวทีละตัว
วันนึงเด็กวัดวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาบอกท่านสมภาร พบเห็นซากหมาถูกกัดกินจนเหลือเพียงครึ่งเดียว ทิ้งไว้กลางป่าแดงระหว่างทางเป็นกุฏิของพระสิงห์ นั่นยังไม่แปลกเท่าอังสะของพระสิงห์ที่ตากไว้ข้างกุฏิ มีรอยเปื้อนสีจางจางคล้ายเลือดแห้งกรังติดอยู่แทบทุกพืน ทั้งสบงก็เช่นกันเลอะเทอะเปอะเลือดเป็นดวงๆความผิดปกตินี้ก็ถึงหูสมภารเจ้าวัดอีกเช่นกันแน่นอนท่านเรียกให้พระสิงห์เข้าพบเพื่อสอบถามข้อมูล “พระสิงห์กล่าว ท่านมีอะไรหรือครับมันเป็นเลือดของผมเอง พอดีตอนถางหญ้าแล้วมือเกิดแตกขึ้นมานะครับ” พระสิงห์บอกปัดไปส่งๆซึ่งท่านสมภารเองก็รู้ดีแแต่จะคาดคั้นไปก็เหมือนเป็นการใส่ความ อีกทั้งพระสิงห์ก็ยังใช้ผ้าพันมือโชว์เพื่อยืนยันว่าบาดเจ็บจริง แม้ท่านจะอยากขอแกะดู เเต่ก็ต้องไว้ท่าทีเพื่อรักษามารยาทเสร็จเรื่องสิ้นราวที่ต้องการไตร่ถามกันแล้ว พระสิงห์ขอตัวกลับกุฏิ โดยบอกว่าอยากสวดมนต์ ท่านหันไปจ้องหน้าเด็กวัดคนที่นำเรื่องผ้าเปื้อนเลือดมาแจ้ง ด้วยตาเขม็ง เด็กวัดคนนั้นถึงกับตัวชาตาเหลือกโพลง “เด็กวัดกล่าว หลวงพ่อครับ หลวงพ่อ”แล้วคืนนั้น เรื่องร้ายก็เกิดขึ้น ดึกสงัด เด็กวัดคนนั้นสะดุ้งตื่นจากนิทราด้วยอาการปวดเบา มุดมุ้งได้ก็เดินงัวเงียออกไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งอยู่ด้านหลังตึกที่ให้เด็กวัดและพระบางรูปอาศัย ยังไม่ทันถึงห้องน้ำ เสียงเรียกชื่อเขาก็แว่วมาให้ยิน เมื่อหันไป พบว่าเป็นท่านสมภาร ยืนอยู่ในแสงสลัวข้างห้องน้ำ “เด็กวัดกล่าว หลวงพ่อมาทำอะไรตรงนี้ครับ” “สมภารกล่าว จะพาไปจับพระสิงห์ไปไปด้วยกัน หลวงพ่อจะให้เอ็งช่วย” “เด็กวัดกล่าว จับเรื่องอะไรครับ” “สมภารกล่าว พระสิงห์เป็นผีปอบ หลวงพ่อรู้อยู่แล้ว คืนนี้เราจะจัดการให้สิ้นเรื่อง” “เด็กวัดกล่าว หลวงพ่อไม่เอาไฟมาด้วยหรือครับ” “สมภารกล่าว ไม่ต้องหรอก ไปกันแค่สองคนนะดีแล้วเงียบดี ไปกันเยอะๆเดี๋ยวอบพระสิงห์จะรู้ตัวเอา”เมื่อผู้นำวัดที่ตนเคารพนับถือบอกเช่นนั้น เด็กวัดจึงไม่ได้ขัดข้องเดินตามหลังท่านสมภารไปติด ลัดเลาะเข้าป่าแดงท่ามกลางความมืด แม้จะพยายามเดินตามอย่างไร ก็ดูเหมือนจะไม่ทันท่านสมภารเสียที แล้วเด็กวัดคนนั้น ก็สะดุดไม่ล้มหน้าคว่ำ และเมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็ไม่พบท่านสมภาร เสียแล้ว “เด็กวัดกล่าว หลวงพ่อครับหลวงพ่อ”เงียบ ไร้วี่แววท่านสมภารขานรับแต่อย่างใด บัดนี้เด็กวัดผู้น่าสงสารได้แต่เหลียวมองความมืดรอบกาย มองหาพระผู้ใหญ่อันเป็นที่พึ่งเดียว เสียงแสกสากดำขึ้นทางนั้นที ทางนี้ทีเหมือนมีใครหรือตัวอะไรเดินผ่าน ทำให้เขาหันรีหันขวางด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้ เขาไม่ต้องการไปช่วท่านสมภารจัดการปอบพระสิงห์อีกแล้ว ตัดสินใจหันหลังวิ่งกลับวัดโดยไว “สมภารกล่าว เองจะไปไหน” “เด็กวัดกล่าว จะกลับวัดครับผมกลัวแล้ว ผมไม่ไปแล้วครับ” ท่านสมภาร ไม่ตอบ แต่ร่างกายของท่านสั่นระริกก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลง แขนขาของท่านยาวเก้งก้างร่างผอมแห้งที่มา พร้อมกลิ่นสาบสาง แน่แล้ว ที่เห็นข้างหน้านี้ไม่ใช่พ่อของเขามันคือผีปอบ “พระสิงห์กล่าว ในที่สุดธาตุแท้ของเจ้าเมื่อชาติปางก่อน” “สมภารกล่าว พระสิงห์ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ แล้วอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะ” “พระสิงห์กล่าว หยุดได้แล้วหลวงพ่อ ท่านทำบาปมามากแล้ว ขืนอยู่ไปก็ไม่ต่างจากมารศาสนา” “สมภารกล่าว ขอร้องล่ะพระสิงห์ อาตมาจะปรับปรุงตัวแล้ว และต่อไปจะช่วยให้ วัดเจริญขึ้น ขอเพียงพระสิงห์ ให้โอกาสอาตมา จะได้ไหม “พระสิงห์กล่าว จะทำแบบนั้นได้อย่างไร ที่วัดไม่เจริญอยู่แบบนี้ เพราะมีปอบแฝงผ้าเหลือง กินของวัดอยู่แบบมึงไงล่ะ” “สมภารกล่าว พระสิงห์” “พระสิงห์กล่าว โอกาสของมึงมีอยู่ทางเดียว มอบตัวซะ” พระสิงห์จับวิญญาณร้ายของท่านสมภารขังไว้ในหม้อดิน แล้วปิดผนึกด้วยผ้ายันต์อีกที ท่านมองไปยังร่างไร้วิญญาณของเด็กวัดด้วยสายตาเศร้าสร้อยพยายามเตือนแล้วพยายามช่วยแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผลเขายังถูกปอบสมภารล่อลวงมากินจนได้ ความจริงแล้วเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นในวัด เป็นฝีมือของท่านสมภาร วันแรกที่บวชเข้ามา พระสิงห์ ทราบด้วยสัญชาตญาณว่าท่านเป็นผีร้าย และท่านสมภารเองก็ทราบว่าพระสิงห์ไม่ใช่ มนุษย์ธรรมดา เช่นกัน ปีศาจร่างยักษ์ที่มาก่อกวน ท่านในคืนแรก ก็เป็นหนึ่งในบริวารของท่านสมภารนั่นแหละ และเลือดที่ติดตามสบงและอังสะก็เป็นฝีมือ ของท่านสมภารเช่นกัน รุ่งเช้าเมื่อทางวัดรู้ ว่าท่านสมภารและเด็กวัดหายไปจึงออกตามหา เสียงหมาเห่าระงมมาจากป่าแดง จึงพากันไปดูและภาพที่เห็น ทำให้พากันเบือนหน้าหนี ร่างของสมภารและเด็กวัดนอนตายอย่างสยดสยอง และเมื่อไปดูพระสิงห์ที่อยู่ในกุฏิร้างซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าให้เห็นไม่ไกล ก็พบเพียงความว่างเปล่า ท่านหายไปแล้ว